หมวดหมู่ : เกษตรอีสาน

การปลูกชมพู่

การปลูกชมพู่  ไม้ผลที่ปลูกง่ายในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ดูแลรักษาง่าย บางครั้งสามารถทนน้ำท่วมขังได้ดี บางครั้งสามารถทนแล้งได้ดี และมีแมลงรบกวนน้อยกว่า

สภาพพื้นที่

ชมพู่สามารถปลูกได้ทั้ง ดินร่วน ดินทราย ดินร่วนปนทราย จะให้ผลผลิตที่มีรสชาติดีในการปลูก เพราะมีธาตุไนโตรเจน และอุ้มน้ำได้น้อยกว่าจึงทำให้ความหวานในผลชมพู่เพิ่มขึ้น น้ำไม่ท่วมขัง การปลูกควรเป็นพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ

ลักษณะดิน

ชมพู่ปลูกได้ทุกสภาพดิน ดินจะดีไม่ดีอยู่ที่เราบำรุง หากเรารู้จักปรับปรุงบำรุงดิน โดยเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ สามารถทำให้ดินสมบูรณ์ การปลูกชมพู่นั้นจะต้องดูแหล่งน้ำเป็นหลัก เพราะพืชชนิดนี้ต้องการน้ำมาก พื้นที่ลุ่ม ต้องยกร่อง ขนาดความกว้างของร่อง 6-8 เมตร ความสูงขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่

สภาพภูมิอากาศ

อุณหภูมิชมพู่เป็นพืชเขตร้อน แต่อุณหภูมิก็ยังคงมีผลต่อการเจริญเติบโต หากอากาศร้อนจัด จะส่งผลให้ชมพู่นั้นติดผลได้ไม่ดี ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกดอกติดผลคือ ช่วงปลายปี ถึงต้นปี จะให้ผลผลิตที่คุณภาพดีที่สุด ในพื้นที่นั้นมีแหล่งน้ำในปริมาณที่เพียงพอตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฝนทิ้งช่วง และฤดูแล้ง ต้องมีการวางระบบน้ำและวางแผนการใช้น้ำไว้ล่วงหน้า

แหล่งน้ำ

สามารถใช้น้ำได้ทั้งจากคลองชลประทานและน้ำสะอาด

ฤดูที่เหมาะกับการปลูก

การปลูกนั้นสามารถปลูกได้ดีมากในฤดูร้อน แต่ต้องมีการเช็คในส่วนของสภาพอากาศ อยู่ตลอดว่าร้อนจัดไหมเพราะ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของชมพู่ได้

วิธีการปลูก

สามารถปลูกได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การปักชำ การตอนกิ่ง การเสียบยอด และการทาบกิ่ง วิธีที่นิยม คือ การปลูกด้วยต้นพันธุ์จากการตอนกิ่ง การปักชำ และการเสียบยอด เพราะให้ผลผลิตเร็ว และลำต้นไม่สูง ส่วนการปลูกจากต้นกล้าเพาะเมล็ดไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะใช้เวลาหลายปี

  • นำกิ่งพันธุ์ปลูกบนกลางร่องเป็นแถวเดียว ขุดหลุมปลูกขนาด 1×1 เมตร เว้นระยะห่างของแต่ละต้นประมาณ 6-7 เมตร ( 1 ไร่ จะสามารถปลูกได้ประมาณ 33 ต้น) การปลูก ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีทุกชนิด เนื่องจากจะทำให้ดินปลูกเสื่อมสภาพ ผลผลิตไม่ได้คุณภาพตามความต้องการ
  • การปักชำกิ่งชมพู่ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการกลายพันธุ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว ขยายพันธุ์ได้ครั้งละจำนวนมาก
  • ขั้นตอนแรก ใช้ถุงพลาสติกดำหรือถุงพลาสติกใสขนาด 4×6 นิ้ว หรือ 5×7 นิ้ว เจาระรูข้างถุงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 ถึง 1 เซนติเมตร จำนวน 4 ถึง 6 รู ระยะห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ใส่ถ่านแกลบหรือขี้เถ้าแกลบจนเต็มถุง รดน้ำพอชุ่มเลือกกิ่งชมพู่ที่มีใบเขียวเข้ม กิ่งยาวประมาณ 10 ถึง 20 เซนติเมตร ตัดโคนกิ่งเป็นมุมเฉียงประมาณ 45 องศา เด็ดใบส่วนโคนกิ่งออก ให้เหลือใบเฉพาะที่ปลายกิ่ง แล้วตัดใบที่เหลือออกครึ่งใบเพื่อลดการคายน้ำ ก่อนนำไปปักชำ ควรชุบโคนกิ่งด้วยฮอร์โมนเร่งราก
  • ปักกิ่งชำลงไปลึกประมาณ 5 เซนติเมตร แล้วปักชำกิ่งลงในตามไป ให้กระชับโคนกิ่งปักชำพอแน่น นำกิ่งที่ปักชำในถุงพลาสติกแล้วไปอบในถุงพลาสติกใสขนาดใหญ่ วางเรียงให้เต็มก้นถุง เป่าถุงพลาสติกให้โป่ง แล้วใช้เชือกมัดปากถุงจนแน่น วางเรียงไว้ในโรงเรือนเพาะชำหรือที่ร่มมีแสงรำไร อากาศถ่ายเทได้ดี ประมาณ 1 เดือน กิ่งปักชำจะออกรากเห็นเป็นสีขาว จึงนำออกจากถุงอบ หรือปล่อยให้กิ่งปักชำมีรากเพิ่มขึ้นไว้อีกประมาณ 15 ถึง 30 วัน รวมเวลา 45 ถึง 60 วัน ในการอบ
  • นำกิ่งปักชำที่ออกรากแล้วออกจากถุงพลาสติกอบ นำมาวางเรียงไว้ในเรือนเพาะชำ รดน้ำและดูแลให้กิ่งชำแข็งแรง
  • ย้ายลงปลูกในถุงพลาสติกขนาด 8×10 นิ้ว ถ้าเป็นถุงสีดำให้ใช้ขนาด 4×9 นิ้ว ใส่ดินร่วน 3 ส่วน ผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน คลุกให้เข้ากัน แล้วรดน้ำ วางไว้ในโรงเรือนประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วนำออกมาวางไว้กลางแจ้งที่มีแดดปกติ
  • ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ ในอัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร รดน้ำกิ่งปักชำทุก 2 ถึง 3 สัปดาห์ต่อครั้ง เมื่อกิ่งปักชำเจริญเติบโตดีแล้วให้นำไปปลูกลงแปลง
  • เมื่อเราทำการปักชำกิ่งชมพู่แล้ว หลุมนานประมาณ 5 ถึง 7 วัน แล้ว ให้โรยปุ๋ย พร้อมคลุกผสมกับหน้าดินให้เข้ากันจากนั้น นำกิ่งพันธุ์ลงปลูกในหลุม พร้อมกลบหน้าดินให้พูนขึ้นเล็กน้อยปักด้วยไม้ไผ่ และรัดต้นชมพู่กับไม้ไผ่ด้วยเชือกฟางพอหลวม กันต้นล้มเอนรดน้ำให้ชุ่มคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าวหรือเศษใบไม้ เพื่อรักษาความชื้นให้หน้าดิน

การกำจัดวัชพืช

ใช้ชีวภัณฑ์ปลอดสารพิษ อัตรา 40-80 กรัมและผสมน้ำ 20 ลิตร ทำการฉีดพ่นกำจัดเป็นประจำทุก 5-7 วัน แต่ช่วงที่ชมพู่เริ่มแทงช่อ ฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง

การให้ปุ๋ย

การให้ปุ๋ยแนะนำ การให้ปุ๋ยปลาสา โดยนำปลาสด 1 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม น้ำส้มสายชู 5% 1 แก้ว หมักรวมกันในถังที่มีฝาปิดสนิท ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 เดือน ใน 30 ซี.ซี. ให้เจือจางกับน้ำประมาณ 20 ลิตร เมื่อชมพู่เริ่มติดดอก ควรป้องกันแมลงกัดกินผลด้วยการห่อช่อผลด้วยถุงพลาสติก หรือฉีดพ่นด้วยสารสมุนไพรชีวภาพที่ทำจากการหมักข่าแก่ ตะไคร้หอม และสะเดาไว้ 3 คืน

การให้น้ำ

ในระยะที่เริ่มแรก ควรให้น้ำวันละ 1 – 2 ครั้ง ในตอนเช้าและเย็น ระยะติดผลควรให้น้ำประมาณ 5 – 7 วัน/ครั้ง ควรงดการให้น้ำก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 7 วัน เพื่อทำให้ผลชมพู่มีรสหวานอร่อย

เทคนิคการปลูก

เคล็ดลับในการดูแลชมพู่ให้มีสีสด รสชาติหวาน กรอบ เป็นที่ต้องการของตลาดด้วยว่า ต้องเอาใจใส่ดูแลตั้งแต่เริ่มต้นปลูก หมั่นรดน้ำ ใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ หากพื้นที่ที่แห้งแล้งก็ให้ใช้วิธีสูบน้ำบาดาลขึ้นมาพักหรือกักเก็บไว้ในบ่อให้เพียงพอ

การเก็บเกี่ยว

การเก็บผลเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง หลังจากการห่อชมพู่ได้ประมาณ 25-30 วันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สวยที่สุด ด้วยถุงพลาสติก บำรุงไปจนผลผลิตเริ่มขึ้นเงาและผิวเลื่อม พร้อมในการเก็บเกี่ยว

ตลาดและผลตอบแทน

ชมพู่นั้น เหมาะสมในตลาดภายในประเทศมากราคากิโลกรัมละ 35 บาท ซึ่งแต่ละปีสามารถเก็บผลผลิตได้ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 สัปดาห์ ทำให้มีรายได้เฉลี่ยปีละ 4–5 แสนบาท อีกทั้งยังมีรายได้จากการขายกิ่งพันธุ์ที่จำหน่ายต้นละ 30 บาท

ข้อมูลและภาพประกอบ

  • หนังสือ 123 อาชีพทางเลือก
  • modernlessons.com
แชร์
Fern Esan108

สาวอีสานหลานย่าโม แต่ไปเรียนไกลถึงเชียงใหม่ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ สปป.ลาว เป็นผู้ชื่นชอบการเขียนบทความทั้งไทยและเทศ และเน้นสาระประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นสำคัญ

ดูความคิดเห็น