การปลูกฝรั่ง เป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก และมีขายตลอดทั้งปี เพราะสามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด ทนสภาพที่แห้งแล้งได้ดี ทำให้เกษตรกรจึงมักปลูกฝรั่งเป็นอาชีพหลักหรือเป็นอาชีพเสริม แม้กระทั่งปลูกเพื่อเก็บผลมาบริโภคภายในครัวเรือนก็ได้ เกร็ดความรู้โดยอีสานร้อยแปด ฝรั่ง ในภาษาอีสานจะเรียกว่า บักสีดา
สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย
การปลูกฝรั่ง สามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียว ดินปนทราย แต่ดินที่ได้ผลดีที่สุดคือ ดินร่วมปนทราย หรือดินตกตะกอนริมแม่น้ำลำคลอง หากปลูกในดินเหนียวจะต้องยกร่อง เพื่อให้สะดวกในการระบายน้ำ
สามารถปลูกได้ในทุกสภาพอากาศ เพียงแต่ต้องเป็นพื้นที่ที่สามารถระบายได้ดี
พันธุ์ฝรั่งที่ได้รับความนิยม ได้แก่
ทุกฤดูกาล
วิธีการปลูกฝรั่งนั้น สำหรับดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ควรใช้ระยะปลูก 6×6 เมตร แต่ถ้าในดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ควรปลูก 5×5 เมตร โดยนำกิ่งพันธุ์ที่ต้องการปลูกมาใส่ในหลุมที่เตรียมไว้แล้วกลบ จากนั้นใช้ไม้หลักปักยึดกิ่งพันธุ์ไว้ไม่ให้โยก
ในระยะเริ่มปลูกจนถึงต้นอายุ 6 เดือน หลังปลูก ให้กำจัดวัชพืชรอบๆโคนต้นทุกๆ 1 ครั้งต่อเดือน ร่วมด้วยการไถกลบ หลังจากต้นแตกกิ่งแล้ว อาจทำการกำจัดวัชพืชน้อยลงก็ได้
แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
ให้น้ำครั้งแรก หลังการปลูกเสร็จให้เปียกชุ่ม หลังจากนั้น ให้น้ำทุก 2 ครั้งต่อวัน เช้า – เย็น จนต้นฝรั่งตั้งตัวได้ หลังจากนั้นอาจทำการให้น้ำน้อยลง ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ และความชุ่มชื้นของดิน ซึ่งไม่ควรปล่อยให้ดินแห้ง โดยเฉพาะในช่วงติดผล แต่ในช่วงติดดอก ก็ไม่ควรให้น้ำมากเกินไป ในช่วงนี้ระวังไม่ให้หน้าดินแห้งก็ เพียงพอแล้ว
ควรเก็บผลที่แก่หรือกำลังห่าม โดยทั่วไปจะมีอายุ 4-5 เดือน ลักษณะผลที่เหมาะต่อการเก็บจะสังเกตได้จากสี และผิว ซึ่งจะมีลักษณะสีตามสายพันธุ์ เช่น แป้นสีทองผลที่ได้ระยะเก็บจะมีสีเขียวอ่อนออกเหลือง ผิวเต่งตึง ขั้วผลเรียวเล็กสีเขียวอ่อน การเก็บจะใช้กรรไกรตัดชิดขั้วผล รวบรวมใส่กะบะพลาสติก พร้อมนำเข้าร่มทำความสะอาด
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในตลาดมาก โดยราคาจะขึ้น – ลง ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและความสมบูรณ์ของผลที่วางจำหน่าย
ฝรั่งราคาแพงจะอยู่ในช่วง สิงหาคม – ตุลาคม ส่วนราคาหน้าสวนจะสูงถึง กิโลกรัมละ 35-40 บาท แต่ถ้าเป็นช่วงภัยแล้ง ราคาจะพุ่งถึง กิโลกรัมละ 48-50 บาท อีกช่วงที่ราคาสูงคือ มกราคม – กุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงเทศกาล ราคามักอยู่ที่ กิโลกรัมละ 28-30 บาท