มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นอีกพันธุ์ของมะละกอที่นิยม จริงๆแล้ว มะละกอ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ถูกนำเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คนไทยนิยมทานส้มตำโดยมีมะละกอคือส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ จึงทำให้ความต้องการมะละกอในแต่ละวันมีสูงมาก โอกาสสำหรับพืชชนิดนี้จึงมีสำหรับคนที่ปลูกได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นที่นิยมของตลาด ใครสนใจอยากจะลองปลูก วันนี้ Esan 108 มีวิธีปลูกมาแนะนำ
ดินที่เหมาะสำหรับปลูกคือ ดินร่วนปนทราย หากดินเหนียวมากไปหรือดินไม่ค่อยดี ก็ควรปรับปรุงดินให้ดีขึ้น โดยใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ซึ่งมะละกอฮอลแลนด์ไม่ชอบน้ำขัง ส่วนมากจึงนิยมปลูกโดยใช้วิธีการเพาะเมล็ด แล้วย้ายกล้าลงแปลงปลูก ต้นกล้าที่ย้ายลงปลูกได้ต้องมีอายประมาณ 1 เดือน
สามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่
ทุกสภาพฤดูกาล
พื้นที่ในการปลูกมะละกอต้องไม่รก อย่าปล่อยให้รกหรือมีหญ้าขึ้น ควรทำการตัดหญ้ามากกว่าการฉีดยาฆ่าหญ้า เพราะจะส่งผลเสียต่อผลผลิต
ใส่ปุ๋ยสูตรผสม 12-15-20 โดยระยะการให้ปุ๋ยคือ 1 เดือน/ครั้ง
ควรให้น้ำกับต้นกล้ามะละกอจนกว่าจะตั้งตัวได้ โดยรดน้ำ 2-3 วัน/ครั้ง ช่วงที่มะละกอออกดอกติดผลเป็นช่วงที่ต้องการน้ำมาก การขาดน้ำจะทำให้ดอกร่วง ผลร่วง ผลไม่สมบูรณ์ การให้น้ำกับต้นมะละอกอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้มะละกอมีผลผลิตสูง ดังนั้น ช่วงนี้จะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะมีผลต่อการให้ผลผลิตของมะละกอเป็นอย่างมาก
ต้นมะละกอที่ให้ผลผลิตดี และเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุดคือ มะละกอที่ออกจากต้นสมบูรณ์เพศ หรือเรียกอีกว่า ต้นกระเทย
แสดงจำนวนต้นต่อหลุมกับอัตราส่วนต้นเพศเมียและต้นสมบูรณ์เพศ
แต่ในทางปฏิบัติใช้ต้นปลูก 2 ต้นต่อหลุมก็เพียงพอแล้ว เพราะในหนึ่งร้อยหลุมหลังจากตัดต้นตัวเมียออกจะเหลือต้นสมบูรณ์เพศเท่ากับ 88.89 x 2 = 176 ต้น ทำให้ได้ผลผลิตขายมากขึ้น
ให้เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุก 5-10 เปอร์เซ็นต์ คือ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย อายุประมาณ 7-8 เดือนก็สามารถเก็บผลมะละกอจำหน่ายได้ โดยสังเกตดูที่ผลหากมีแต้มปรากฏอยู่บนผล 2-3 แต้มก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ การเก็บมะละกอจากต้นควรใช้มีดหรือกรรไกรตัดให้ติดต้น ไม่ควรใช้มือบิด วางมะละกอโดยมีวัสดุรองรับเช่นกระดาษหลายๆชั้นหรือกล่องที่ออกแบบมาแล้ว และระวังอย่าให้ยางติดลูกมะละกอ ส่วนการเคลื่อนย้ายต้องระวังผล เพราะเกิดรอยและช้ำง่าย
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นที่ต้องการของตลาด สำหรับตลาดในประเทศไทยมีความต้องการสูง เพราะคนไทยนิยมบริโภค โดยเฉพาะมะละกอดิบ ส่วนเรื่องการขาย การทำตลาดนั้น หากจะทำให้มีกำไรมากที่สุดควรมีเทคโนโลยี กระบวนการปลูก การเคลื่อนย้ายผลิตที่ดี เพราะจะทำให้ลดต้นทุนและเป็นอีกทางที่สามารถเพิ่มกำไรได้แม้ยอดขายได้เท่าเดิม
ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพัฒนา วิจัย ตลอดเวลา รวมถึงการปรับสัดส่วนการขาย ทั้งมะละกอดิบ สุก หรือแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างยอดขายได้สูงขึ้น ส่วนเรื่องราคาจะดีมากช่วง สิงหาคม-กันยายน การให้ผลิตควรได้ประมาณ 5 ตันต่อไร่ขึ้นไป ต้นทุนการปลูกก็ประมาณ 20,000 บาทต่อไร่