กล่าวไว้ว่าเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนากิจจานุรักษ์ได้รู้ข่าวว่าบนดอยขุนห้วยโป่งแดงมีรอยพระบาทประทับอยู่บนก้อนหิน ท่านได้มาค้นหาพบเจอรอยบาทของพระมหาเถระ บนดอยกวางคำในปัจจุบัน ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงทาย ก็ทราบว่าองค์ท่านเองนั้น เมื่อครั้งในดีตชาติ ได้เคยเกิดเป็นพญากวางคำ บำเพ็ญโพธิญาณ และมาถูกพรานยิงด้วยธนูเสียชีวิต ณ สถานที่แห่งนี้ จึงได้ก่อสร้างวัดไว้เป็นอนุสรณ์สถานถาวรวัตถุให้ ชาวกระเหรี่ยง ลูกหลาน และผู้ที่ศรัทธา ได้สักการบูชา สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ต่อไป และยังมีตำนานย้อนรอยไปเกี่ยวกับ พญากวางคำ และรอบพระบาทของพระมหาเถระ อีกด้วยว่า ครั้งพุทธกาลแต่เดิมสมัยสมเด็จพระกกุกสันโธสัมาสัมพุทธองค์ ณ ขุนห้วยโป่งแดงปัจจุบัน ในเวลายามบ่าย มีกวางฝูงหนึ่งประมาณสิบกว่าตัว ออกหากินโดยการนำของจ่าฝูงพญากวางคำซึ่งเป็นกวางพระโพธิสัตว์ ตัวใหญ่ สีเหลืองดุจทองคำในขณะเดียวกันนั้นก็มีพรานล่าเนื้อ สองกลุ่ม ออกล่าสัตว์ กลุ่มหนึ่งมาทางทิศเหนือ อีกกลุ่มหนึ่งมาทางทิศใต้ ได้มาเจอฝูงกวางกำลังออกหากินอยู่ พญากวางคำด้วยความเป็นจ่าฝูง โดยสัญชาติญาณ ที่จะให้บริวารพ้นภัยอันตราย จากกลุ่มพราน พญากวางอันมีสติปัญญาว่องไวและความเสียสละ จึงตัดสินใจหลอกล่อนายพรานทั้งสองกลุ่มให้สนใจติดตามตัวเองแต่ผู้เดียว โดยมุ่งหน้าวิ่งหลอกล่อพรานขึ้นไปบนเขาที่อยู่ใกล้ คือพระธาตุดอยกวางคำในปัจจุบัน เพื่อให้พ้น และห่างจากบริวารที่หากินอยู่ โดยไม่ห่วงตัวเอง ไม่หวั่นเกรงต่อความตายในขณะนั้นบนจอมเขาขุนห้วยโป่งแดงที่พญากวางคำกำลังวิ่งขึ้นไปนั้นมีพระเถระรูปหนึ่งออกเดินธุดงค์โปรดสัตว์โลก มาพักปักกลดจำศีลภาวนาอยู่บนจอมเขา ขณะนั้นกำลังทำวัตรสวดมนต์พระอภิธรรมอยู่ พญากวางคำได้วิ่งหนีพรานมาเจอพระมหาเถระสวดมนต์พระอภิธรรมอยู่ จึงได้หยุดยืนฟัง และพิจารณาว่าเสียงนี้เหมือนเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ไพเราะมากจิตจึงเกิดความเพลิดเพลินหลงใหลติดในเสียงสวดมนต์ ของพระมหาเถระ ลืมว่ากำลังวิ่งหนีกลุ่มพรานอยู่ ไม่สนใจไม่กลัวความตายว่าจะมาถึงตัว พรานล่าเนื้อทั้งสองกลุ่มได้วิ่งไล่พญากวางขึ้นมาบนจอมเขา เพราะเห็นรูปร่างลักษณะใหญ่โตสวยงาม พญากวางหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวก็ใช้ธนูยิงใส่พญากวางทันที โดยไม่ลังเล และไม่ทันสังเกตว่ามีพระธุดงค์ปักกลดอยู่ใกล้ๆ ในขณะนั้นพญากวางคำไม่รู้สึกตัวว่าถูกยิงเสียชีวิต แต่รู้ตัวว่าเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นมา ก็ได้อุบัติจุติเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นตาวติงสา (ดาวดึงส์) มีปราสาทวิมานกว้างได้สิบสองโยชน์ สูงสิบสองโยชน์ และมีเทพธิดานางฟ้าเป็นบริวารอีก เป็นพันองค์ ส่วนพรานทั้งสองกลุ่มก็ได้แบ่งเนื้อกวาง โดยไม่ได้สนใจพระธุดงค์ที่ปักกลด สวดมนต์อยู่ หนังของกวาง นั้น พรานได้เอาไปตากไว้บนก้อน หินใกล้ ๆ กับเขาลูกนี้ (ปัจจุบันกลายเป็นแท่นหินหนังกวาง อยู่ห่างจากวัดไม่ไกลนัก) ส่วนหัวของกวาง พรานได้นำไปคั่ว ปัจจุบันคือบ้านหัวขัวบอกว่า “บ้านหัวขัว” ซึ่งมาจากคำว่า “หัวคั่ว” เพราะพรานเอาหัวกวางมาคั่วที่นี่ ปัจจุบันนี้ชาวบ้านเรียกเพี้ยนเป็นภาษาล้านนาว่า “หัวขัว” (หัวสะพาน) พระมหาเถระนั้น เมื่อสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติกรรมฐานแล้ว จึงได้มาเทศน์โปรดสั่งสอนบอกกล่าวให้กลุ่มพรานที่กำลังแบ่งเนื้อพญากวางคำ และได้ชี้บอกพรานทั้งหลายว่า….“สูทั้งหลายทำบาปมากแล้วสูรู้ไหมว่ากวางที่สูยิงนั้น มิใช่กวางธรรมดาทั่วไป แต่เป็นพญากวางคำโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ได้พาบริวารออกหากิน ต่อไปภายหน้า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า อีกต๋นหนึ่ง” แล้วเทศน์โปรดพรานให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หันมาทำบุญรักษาศีลโดยการให้นำศีลห้าไปปฏิบัติ พรานทั้งหมดเมื่อฟังพระมหาเถระเทศน์จบ ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงขอรับศีลห้าไปปฏิบัติ แล้วพร้อมใจกันนำอาวุธทั้งหมด ถวายพระมหาเถระ เพื่อบูชาพระธรรมคำสอนของพระมหาเถระและบูชาศีลห้าเมื่อกลุ่มพรานมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว จึงนึกถึงพระคุณองพระมหาเถระ กลุ่มพรานจึงได้ขอให้พระมหาเถระทำสัญลักษณ์ไว้ให้เป็นอนุสรณ์ตัวแทนของพระมหาเถระ เพื่อเขาจะได้สักการะบูชาต่อไปในวันข้างหน้า พระมหาเถระ จึงได้อธิษฐานจิตเหยียบรอยเท้าไว้บนหิน ให้พรานรักษา และได้มากราบไหว้สักการบูชาต่อไป ปัจจุบันได้สร้างรอยพระบาทครอบของแท้ไว้อีกชั้นหนึ่ง