
Newsletter Subscribe
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
บุญซำฮะ (บุญชำระ) หรือ บุญเบิกบ้าน เป็นงานบุญในเดือนเจ็ด (ราวเดือนมิถุนายน) ตามฮีต 12 คอง 14 ของคนอีสาน(ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติพันธ์ลาว ซึ่งร่วมถึงชาวลาวอีสานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแสดงถึงความเป็นชาติเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมานาน เป็นเอกลักษณ์ของชาติและท้องถิ่น) แต่ในบางพื้นที่นิยมจัดในเดือนหกซึงเป็นประเพณีต่อเนื่องจากการเลี้ยงผีปู่ตา เป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีเป็นเสนียดจัญไรอันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เป็นการปัดเป่าความชั่วร้ายให้ออกจากหมู่บ้าน ชาวบ้านจะพากันเก็บกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อยเป็นการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในรอบปี สิ่งที่ไม่ ดีทั้งหลายให้ขจัดออกไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในหมู่บ้าน มูลเหตุที่มีการทำบุญซำฮะ เนื่องมาจากสมัยพุทธกาลมีโรคห่า (อหิวาตกโรค) ระบาดมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากที่เมืองไพศาลี พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาโปรดทำให้เกิดฝนห่าใหญ่มาชำระบ้านเมือง มีการสวดปัดรังควานและประพรมน้ำมนต์ตามหมู่บ้าน และแก่ชาวบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล (บุญศรี ตาแก้ว, 2545: 156) ซึ่งความเชื่อนี้ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
[ads1]
ในผญาของคนอีสานโบราณได้กล่าวถึง บุญซำฮะ โดยมีเนื้อหาดังนี้
“…ฮีตหนึ่งนั้น พอเมื่อเดือน 7 แล้ว
จงพากันบูชาราช ฝูงหมู่เทพเหล่าฮั้นฃ
บูชาแท้สู่ภาย ตลอดไปฮอด อาฮักใหญ่มเหสัก
ทั้งหลักเมือง สู่หนบูชาเจ้า
พากันเอาใจตั้งทำตามฮีตเก่า
นิมนต์สังฆเจ้าชำฮะแท้สวดมนต์
ให้ฝูงคนเมืองนั้นทะกันอย่าได้ห่าง…” (ว.ศรีสุโร, 2541: 65)
เมื่อถึงเดือนหกหรือเดือนเจ็ดคนในชุมชนก็จะกำหนดวันทำบุญบ้านในวันใดวันหนึ่ง เมื่อถึงวันก็จะมีการปลูกปะรำพิธี (ผาม) บริเวณ “หลักบือบ้าน”( ซึ่งในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ใช้บริเวณศาลากลางบ้านประกอบพิธีแทนการปลูกผาม (สมชาย นิลอาธิ, มปป.: 110) ก่อนจะเริ่มพิธีซำฮะนั้น เฒ่าจ้ำจะทำพิธีเชิญเจ้าปู่หรือผีปู่ตามาร่วมพิธีโดยการนำขันกะยองจากศาลปู่ตามาตั้งไว้บริเวณหลักบือบ้าน และให้ทุกเรือนจะต้องเตรียมด้ายไนไหมหลอด (สีขาว) โยงจากบริเวณปะรำพิธีไปบ้านเรือนของตนต่อไปเรื่อยๆจนครบทุกหลังคาเรือน เตรียมขวดน้ำ ด้ายผูกข้อมือ ขันน้ำหอม ตอนเย็นนิพระมาสวดพระพุทธมนต์ ตอนเช้าพระสงค์เจริญพระพุทธมนต์ ถวายบิณฑบาตแด่พระสงฆ์ รับศีล ปะพรหมน้ำพระพุทธมนต์นำเสลี่ยงหามพระเดินไปรอบหมู่บ้านหว่านหินแห่ หว่านทราย ตอกหลักบ้านหลักเมืองตอกหลักปีหลักเดือน เสร็จพิธีแล้วนำน้ำพระพุทธมนต์ปะพรมสัตว์เลี้ยง วัว ควาย และบุตรหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข(สุภาพ บุตรวิเศษ, 2558)
ภายหลังจากทำบุญซำฮะแล้วยังมีการทำพิธีกรรมเกี่ยวเนื่องคือพิธีไหว้ผีตาแฮก(ผีประจำไร่นา) ซึ่งถือเป็นการประกอบพิธีกรรมก่อนการทำนาของคนอีสานและเซ่นสรวงหลักเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงผู้มีพระคุณเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขซึ่งล้วนเป็นประเพณีที่จัดต่อเนื่องจาก บุญซำฮะ
ในยุคปัจจุบันนี้ประเพณีการเลี้ยงผีปู่ตาและประเพณีบุญซำฮะ กำลังเผชิญกับการคุกคามจากความเปลี่ยนแปลงของโลก ยุคโลกาภิวัฒน์ ความเป็นอีสานและวัฒนธรรมท้องถิ่น กำลังเผชิญกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในโลกสมัยใหม่ อันเป็นผลมาจากการเข้ามาของระบบทุนนิยมในภาคอีสานผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ยุค พ.ศ.2500 อันมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลให้ขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างได้เริ่มทยอยสูญหายไปอย่างช้าๆ
ในอดีตนั้นชาวอีสานส่วนใหญ่อยู่กันแบบสังคมชนบท บางทีเรียกว่า สังคมแบบชาวบ้าน ที่ประชากรมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน อยู่กับธรรมชาติ ไม่หนาแน่นมีการแข่งขันกันน้อยสภาพการครองชีพต่ำส่วนใหญ่ยังประกอบอาชีพทางการเกษตร ทำให้ต้องพึ่งพาอาศัยแรงงานแลกเปลี่ยนกัน มีความใกล้ชิดกัน และยึดมั่นอยู่กับขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่ภายหลังการเข้ามาของพัฒนาเริ่มทำให้วิถีชีวิตแบบดังเดิมนั้นหายไปมีการย้ายถิ่นฐานเพื่อไปประกอบอาชีพตามภูมิภาคต่างๆ สังคมแบบดั้งเดิมของชาวอีสานเริ่มแปลสภาพเป็นสังคมเมือง ดังจะเห็นได้จากในปัจจุบัน ที่ความเป็นชุมชนหรือหมู่บ้านแบบเก่านั้นเริ่มหายไปจากไปสังคมอีสาน มีการเข้ามาของชุมชนสมัยใหม่ เช่น หมู่บ้านจัดสรร ตึกแถว คอนโดมิเนียม หอพัก ห้องเช่า ชุมชนรูปแบบใหม่นี้ เกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่มาจากหลากหลายพื้นที่และมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนชุมชนเหล่านี้ไม่มีพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่จะลองรับประเพณีความเชื่อแบบดั้งเดิมของท้องถิ่น หลักบือบ้าน/ดอนปู่ตา ถูกแทนที่ด้วย “ศาลพระภูมิ” ที่ไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอีสาน
การศึกษาและเทคโนโลยีสมัยใหม่สมัยใหม่ก็ส่งผลเช่นกัน เห็นใด้จาก กลุ่มคนรุ่นใหม่หรือเยาวชนมักไม่ค่อยสนใจกับประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นอันเป็นผลจากการต้องประกอบอาชีพสมัยใหม่ ที่ไม่ใช้การทำเกษตรกรรม ส่งผลให้ “สังคมแบบประเพณี” คือ การดำรงชีวิตร่วมกันในกรอบจารีตประเพณีที่รับรู้หรือถ่ายทอดกันลงมาจากคนรุ่นปู่ย่าตายาย (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2551: 15) สูญหายไป จึงจะเห็นได้ว่าในบางชุมชนนั้นประเพณีบางอย่างเริ่มสูญหายไป หลักบือบ้านและดอนปู่ตา เริ่มเสือมความสำคัญลง บางท้องถิ่นก็หายไป
ประเพณีการเลี้ยงผีปู่ตาและประเพณีบุญซำฮะ เป็นประเพณีความเชื่อของคนอีสานที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือเรียกว่า “สังคมแบบประเพณี” ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากความเชื่อในเรื่องจิตวิญญานที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามประเพณีทั้งสองนี้ก็เริ่มจางหายไปอันเป็นจากการพัฒนาและการเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ จึงทำให้ ประเพณี ความเชื่อ และ ความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเผชิญกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงในโลกสมัยใหม่
บรรณานุกรม
ที่มา