ผู้ที่เจ้าปู่ศรีสุทโธได้นำไปประกวดชายงามนั่นก็คือ ท่านหลวงปู่คำตา ศิริสุทโธ วัดสิริสุทโธ คำชะโนดในปัจจุบัน (หลวงปู่คำตา เกิดที่บ้านวังทอง ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี) ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าปู่ศรีสุทโธหรือเกี่ยวข้องกับพยานาค และเกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆของหลวงปู่คำตาศิริสุทโะตลอดมานั้น ลำดับเหตุการณ์ดังนี้
หลังจากนั้นต่อมาประมาณเดือน 8 ในเวลากลางวันประมาณบ่ายสองบ่ายสามเห็นจะได้ มีฝนตกชาวบ้านก็ออกไปยกยอหาปลาในลำห้วยใกล้ๆบ้าน ท่านก็ได้ไปพร้อมๆกับชาวบ้าน ขณะที่ท่านยกยออยู่นั้นจะมีปลามาเข้ายอของท่านมากผิดปกติจากชาวบ้านคนอื่นๆ และยกยอต่อไปไม่นานก็มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น คือ คล้ายมีปลาตัวใหญ่มาอยู่ในยอของท่าน ท่านดีใจรีบยกยอขึ้น แต่เมื่อพ้นน้ำก็กลายเป็นกระบอกปูน(เต้าปูน) พอท่านยื่นมือจะหยิบมาดูก็ดิ้นเหมือนปลากระโดดลงน้ำและเกิดสั่นสะเทือนทั่วบริเวณ ท่านตกใจจนจับไข้จึงรีบเข้าไปในหมู่บ้านเล่าให้ญาติพี่น้องได้ทราบ
ต่อมาอีกประมาณกลางเดือน 9 ในเวลาพลบค่ำ ฝนตก ท่านรู้สึกง่วงมากไม่รู้สึกหิวข้าวและไม่รอกินข้าวร่วมกับครอบครัวท่านเข้านอนก่อนใครๆ พองีบหลับก็ฝันไปว่ามีสาวๆหลายคนมาชวนไปเที่ยวงานบุญแล้วท่านก็เดินลงมาจากบ้านโดยไม่รู้ตัว มุ่งหน้าสู่ลำห้วยที่เคยไปหาปลาโดยสั่งลาหลานที่เล่นอยู่หน้าบ้านว่าจะไปอาบน้ำแล้วก็รีบเดินไป ญาติพี่น้องเห็นท่าทางผิดปกติจึงรีบวิ่งไล่ตามไปเอากลับมาบ้าน ญาติพี่น้อง 5 – 6 คน ดึงฉุดกลับมา แต่ท่านไม่รู้สึกตัว ญาติพี่น้องช่วยกันปฐมพยาบาลเป็นเวลานานไม่ยอมฟื้นตื่น สลบอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งมีญาติคนหนึ่งเอาปืนมาจ่อยิงใกล้ๆหูจึงตื่น ฟื้นสติคืนได้ ขณะที่ท่านหลับหรือสลบไปนั้นท่านเล่าว่าสาวๆที่ชวนไปเที่ยวได้นำไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจัดพิธีให้ท่านแต่งงานกับสาวคนหนึ่ง ขณะที่จะเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญแต่งงานนั้นก็ได้ฟื้นสติกลับคืนมาพอดี
เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้บวชเป็นพระ เรื่องที่ผิดปกติต่างๆก็เงียบหายไป ไม่ปรากฏอีก จนกระทั่งได้ลาสิกขาจากพระออกมาประกอบอาชีพอยู่ในหมู่บ้านวังทอง วันหนึ่งเหตุการณ์แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นอีกกล่าวคือ ในเดือน 11 เวลากลางวันประมาณบ่ายสองโมง ได้ออกไปเกี่ยวข้าวที่นาบ่อผักไหม พอกลับมาจากไร่ได้ลงไปอาบน้ำที่บ่อผักไหม (อยู่ห่างจากเมืองชะโนดประมาณ 3 เส้น) พออาบน้ำเสร็จเดินขึ้นไปเถียงไร่(กระท่อมทำไร่) ก็พบผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่บนกระท่อม อายุประมาณยี่สิบกว่าๆ นั่งกอดเข่าข้างเดียวหันหลังให้ เป็นคนแปลกหน้าซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องที่เคยปรากฏขึ้นในความฝันเมื่อหลายปีก่อน ก็เกิดความกลัวขึ้นมาทันที ท่านจึงเอ่ยถามด้วยความกลัว มาจากไหน มาหาใคร หญิงคนนั้นตอบมาว่า มาพร้อมกับพ่อตู้สี (ตาสีเป็นพี่เขยของหลวงปู่คำตา) ผู้หญิงเขาเล่าลือกันว่าอาจารย์คำตาเป็นคนสวยงามมาก จึงอยากจะมาพบบ้าง ท่านถามต่อไปว่าบ้านอยู่ที่ไหน ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วๆไป พอได้ฟังดังนั้นยิ่งนึกกลัวขึ้นมาก จึงรีบตอบปกปิดไปว่า ท่านรู้จักอาจารย์คำตาดี เพราะบ้านอยู่ใกล้เคียงกันแล้วท่านก็หาทางเลี่ยงพูดไปว่า ขอไปปัสสาวะเดี๋ยวเดียว พร้อมกับวิ่งลงกระท่อมอย่างรวดเร็ว เข้าไปในไร่เล่าให้พี่เขยฟังและชวนกันรีบออกมาดูที่กระท่อม ปรากฏว่าหญิงคนนั้นได้หนีหายไปแล้ว
เนื่องจากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวท่านบ่อยครั้งเหลือเกิน จากการไปซักผ้า ไปหาปลา ในความฝัน และเกี่ยวกับหญิงแปลกหน้ามาตามหาอาจารย์คำตานี้เอง ทางญาติพี่น้องจึงได้ปรึกษาหารือกัน หาวิธีการช่วยเหลือไม่ให้เกิดอันตรายขึ้น จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ “คำตา” เปลี่ยนเป็นชื่อ “สุภาพ” และทำพิธีแต่งงานสมมติขึ้นให้อย่างเหมาะสม หลังจากนั้นก็ให้ย้านหนีออกไปจากหมู้บ้านวังทองไปอยู่ในวัดบ้านหนองกา อาศัยอยู่กับท่านพระครูคำ(พระครูสุภารโสภณ)เป็นเวลา 7 วัน แล้วค่อยกลับมาอยู่ที่บ้านวังทองตามเดิม อยู่ต่อมาสองเดือน ญาติพี่น้องก็ได้จัดพิธีแต่งงานจริงๆให้ ชีวิตครอบครัวของอาจารย์คำตาดำเนินไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งภรรยาคลอดลูกชายคนแรกได้ไม่นานก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับอาจารย์คำตาอีก
กล่าวคือประมาณปลายเดือน 12 น้ำเริ่มลดลง ในคืนหนึ่งท่านฝันว่าเจ้าปู่ศรีสุทโธมาหาที่บ้าน มาขอให้ไปประกวดชายงามประจำปี แต่ในฝันคืนแรกไม่ตกลงกันและได้ฝันติดต่อกันอีกหลายคืนจรกระทั่งคืนวันสุดท้าย เจ้าปู่ศรีสุทโธได้ถามเหตุผลที่ไม่ยอมไปประกวดว่ามีปัญหาขัดข้องอะไรบ้าง ท่านจึงได้บอกเจ้าปู่ไปว่ากลัวจะพลัดพรากจากครอบครัวและกลัวจะตายจากลูกเมีย เจ้าปู่ยอมรับทุกอย่างจะไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด จะคุ้มครองให้ปลอดภัยและได้กลับมาอยู่บ้านวังทองร่วมกลับครอบครัวแน่นอน ในที่สุดเมื่อเจ้าปู่ขอร้องหนักๆเข้าจึงตกลงไปประกวดชายงามตามคำขอโดยขอร้องเจ้าปู่ว่าเมื่อประกวดเสร็จจะต้องรีบนำกลับคืนมาบ้านโดยเร็ว เจ้าปู่รับปากปฏิบัติตามทุกอย่าง สรุปว่าความฝันในคืนสุดท้ายตกลงไปประกวดชายงามโดยนัดหมายวันเวลากันเรียบร้อย(ปกติท่านฝันถึงเจ้าปู่มักจะฝันเฉพาะในวันพระ คือ 8,15 ค่ำ) เมื่อเล่าเรื่องที่ฝันให้ญาติพี่น้องฟังก็เกิดความกลัวกันไปทั่ว รวมทั้งญาติพี่น้องทุกคนและชาวบ้านที่ได้รู้เรื่องการฝันกลัวว่าอาจารย์คำตาต้องตายจากไป และกลัวว่าจะมีอันตรายต่างๆจะเกิดกับอาจารย์คำตาและครอบครัว จึงได้ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ระมัดระวังภัยช่วยกันอย่างใกล้ชิด พอถึงวันกำหนดหมายที่เจ้าปู่จะมารับไปประกวด ผู้ใหญ่บ้านก็ประกาศให้ลูกบ้านทุกคนไม่ให้ออกนอกเขตหมู่บ้านให้ทุกคนมารวมกันที่บ้านอาจารย์คำตาเพื่อช่วยกันเฝ้าอาจารย์คำตาและช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งบนบ้านและบริเวณนนอกบ้านมาคอยเฝ้าดูแลตั้งแต่เช้าตรู่่ ครั้งพอถึงเวลานัดหมาย คือเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง จารย์คำตาก็นอนอยู่บนบ้านเป็นปกติเกิดมีสิ่งดลใจให้ชาวบ้านและญาติทุกคนปรึกษาหารือกันและลงความเห็นกันว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับจารย์คำตาหรอก เพราะอาจารย์คำตาก็ปกติทุกอย่าง ไมม่มีอะไรที่ผิดปกติเป็นสิ่งบอกเหตุ แล้วก็มีสิ่งดลใจให้ทุกคนกลับบ้านเรือนของตนเอง ชาวบ้านและญาติพี่น้องต่างก็ทยอยกลับบ้านกันเกือบหมด ทันใดนั้นเอง อาจารย์คำตาซึ่งนอนหลับงีบไปได้ลุกขึ้นวิ่งงลงจากบ้านตรงไปสู่ทุ่งนาใกล้ลำห้วยทางทิศตะวันตกหมู่บ้านซึ่งเคยไปหาปลา ญาติพี่น้องก็วิ่งไล่ตามอย่างใกล้ชิดแต่จารย์คำตาก็วิ่งหายไปในพริบตานั้นเอง ทางกลางกอข้าวที่กำลังออกรวงชาวบ้านระดมกันช่วยค้นหาทั่วทุ่งนาแต่ก็ไม่เจอชาวบ้านและญาติพี่น้องที่ช่วยกันค้นหาต่างหมดปัญญาที่จะตามหาได้ จึงไปให้หมอดูหมอธรรมช่วยดูดวงเหตุความเป็นไปให้หมอดู หมอธรรมก็บอกว่าเจ้าปู่มารับไปประกวดชายงามแล้วขอให้ฐาติพี่น้องหายห่วง อย่าตกอกตกใจ จารย์คำตาปลอดภัยดีจะไม่เป็นภัยอันตรายใดๆทั้งสิ้น แต่ญาติพี่น้องก็ไม่ลดละที่จะค้นหา พยายามค้นหาต่อไปจนกระทั่งเวล่ประมาณห้าโมงครึ่งของตอนเย็นในวันนั้น ก็พบจารย์คำตานอนสลบอยู่คันนา (ตรงจุดที่เห็นหายไป) เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก เพราะตรงจุดนี้ชาวบ้านและญาติๆเดินค้นหาผ่านไปผ่านมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เจอแต่พอกลับมากลับปรากฏนอนสลบอยู่อย่างไม่น่าเชื่อสายตาตัวเอง ชางบ้านจึงช่วยกันมาหามร่างที่สลบเข้ามารักษาปฐมพยาบาลในหมู่บ้าน พยาบาลกันอยู่นานจึงฟื้นสติ พอฟื้นท่านก็บอกว่าเห็นญาตาิพี่น้องร้องไห้ระงมเพราะคิดว่าท่านตายไปแลัว พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ญาติพี่น้องและชาวบ้านที่ไปเฝ้าดูอาการอยู่เต็มบ้าน เป็นลำดับดังนี้