ชื่อ แมงสูด , แมงขี้สูด ( นักพรตแห่งโพนปลวก )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tetragonisca ,Trigona apicalis และ Trigona Collina
วงศ์ Stingless bee
แมงสูด เป็นชื่อของแมลงชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในตระกูลผึ้ง มีขนาดลำตัวเล็กๆ และไม่มีเหล็กในในตัวเอง
นิสัยเป็นมิตร ไม่ดุร้าย มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับผึ้ง มีวรรณะ เช่น มีนางพญา(แม่รัง) มีสูดงาน( ไม่มีเพศ )
และมีสูดสืบพันธุ์ ( มีทั้งตัวผู้ตัวเมีย ) สามารถผลิตน้ำหวาน และขยายเผ่าพันธุ์ได้
ทางภาคเหนือจะเรียกว่า “แมลงขี้ตึง” แปลว่าแมลงที่ผลิตหรือเก็บน้ำยางได้ ทางภาคอีสานเรียก” แมงขี้สูด”
นิยมนำมาอุดแคน หรือถ่วงเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิด ทำให้เกิดเสียงไพเราะ ส่วนภาคใต้เรียกตัว “อุง”
สำหรับภาคกลาง รู้จักในชื่อตัว “ชำมะโรง “ หรือ “ชันโรง”
บางครั้งทำรังในระดับทางเดินของคน มีชื่อเรียกภาษาอีสานว่า” สูดเพียงดิน” หมายถึงแมลง
ชนิดนี้ ทำรังระดับเดียวกันกับพื้นดิน แล้วทำท่อขึ้นมาจากพื้นดินครับ ซึ่งปกติแล้วแมลงชนิดนี้มักจะทำรังในที่สูงครับ เช่นโพรงไม้หรือจอมปลวกครับ”สูดเพียงดิน” นี้ค่อนข้างจะหายาก
ครับ ถ้าใครเจอให้เก็บไว้เลยนะครับเป็นของดี
เอามาใส่เครื่องดนตรีชนิดใด ก็ไพเราะจนคนไหลหลง อีกทั้งผู้ร่ำเรียนไสยศาสตร์ มักจะนำไป
ปลุกเสกเป็นมหานิยม แล
ขี้สูด เป็นแมลงสังคม (Social insect) กลุ่มเดียวกับผึ้ง ลักษณะที่สำคัญแตกต่างกันไปจากผึ้งคือ เป็นผึ้งขนาดเล็กที่ไม่มีเหล็กใน เป็นแมลงที่เชื่องไม่ดุร้ายกับศัตรู
บางชนิดขี้อายชอบหลบอยู่ในรูหรือโพรงไม้ อยู่ในวงศ์ผึ้ง กลุ่มนี้ว่า”Stingless bee”
สามารถสร้างน้ำหสานได้เช่นกัน คำว่า “ขี้สูด” เป็นชื่อเรียกพื้นเมือง (Verrnacular name) ทั่วไป
ของภาคอีสาน ที่มาของคำนี้สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากลักษณะการสร้างรังเนื่องจากแมลงกลุ่มนี้ได้เก็บหา ยาง(gum) ชัน (resin) ของต้นไม้ แล้วนำมาอุดยาชันรอบๆ ปากรังและภายใน เพื่อป้องกันน้าไหลซึมเข้ารัง และยังเป็นการป้องกันศัตรูบริเวณปากรัง ตัวอ่อนเมื่อกินน้ำหวานแล้ว จะขับถ่าย
เกสร หรือยางไม้ออก พวกวรรณะงาน ( ตัวสูดไม่มีเพศ ) จะขนถ่ายเศษเหล่านั้นไปสะสมไว้ใต้รัง
ส่วนนี้เองที่เรียกว่า”ขี้สูด” เนื่องจากมีกลิ่นหอมแปลก ๆ จากยางไม้ดอกไม้นาๆ ชนิด
หากจับต้องแล้ว เป็นต้องดม สูดกลิ่นอันนี้ ประหลาดแท้ จึงเรียกว่า ขี้สูด
อีกอย่าง สมัยโบราณ ไม่มีส้วม จึงอาศัยตื่นแต่เช้า ไปขี้ อยู่ข้างโพน บังเอิญเจอแมงอันนี้
จึง โก่งโก้ยไป สูดดมปล่องรัง ได้ทั้งกลิ่นขี้ ได้ทั้งกลิ่นน้ำหวาน แมงอันนี้
จึงตั้งชื่อว่า ” แมงขี้สูด ” แล
สำหรับขนาดตัวของแมงขี้สูดโดยเฉลี่ยมีขนาดเล็กกว่า ผึ้งพันธุ์ประมาณ 2-3 เท่า
เป็นแมลงที่รวมกันอยู่เป็นสังคมเช่นเดียวกับ ผึ้งรวง (ผึ้งมิ้ม ผึ้งหลวง และผึ้งเลี้ยง) ภายใน
สังคมแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ คือ นางพญา(Queen) ตัวงาน (Worker) และตัวสืบพันธุ์(Male)
โดยที่ขนาดลำตัวระหว่างนางพญา กับตัวงานมีขนาดแตกต่างกันมาก ตัวสืบพันธุ์มีขนาดใกล้เคียง
หรือเล็กกว่านางพญาเล็กน้อย
ส่วนหัวมีตารวม มีหนวด 1 คู่ ตาเดี่ยว 3 ตา ช่วงท้อง(Metasoma) ไม่เป็นรูปปิระมิดมีลิ้นเป็นงวงยาว ขา3 คู่ ขาคู่หน้าและ
คู่กลาง ค่อนข้างเล็กขาหลังเรียวไม่แผ่แบน ไม่มีเหล็กใน
ตัวของ”สูดงาน”ตัวงานมีจำนวน 12 ปล้อง มีคล้ายนางพญาแต่ขนาดลำตัวเล็กกว่า กรามพัฒนาดีต่อการใช้งาน ขาคู่หลังแผ่กว้างเป็นใบพายมีขนจำนวนมาก รูปร่างคล้ายหวีสำหรับใช้เก็บละอองเรณูของดอกไม้มีปีกปกคลุมยาวเกินส่วนท้อง และไม่มีเหล็กใน
ลำตัวมีจำนวน 13 ปล้อง คล้ายนางพญา มีขนาดเล็กกว่า หรือใกล้เคียงกัน ตารวมเจริญพัฒนาดี กรามพัฒนาไม่ดีพอต่อการใช้งาน หนวดยากกว่าวรรณะทั้งสองโค้งเว้าเป็นรูปดัวยู ปลายส่วนท้องปล้องสุดท้ายมีครีบสำหรับผสมพันธุ์ (genitalia) ส่วนของขาคล้ายกับ
“ สูดงาน “ แต่ขาคู่หลังของชันโรงตัวผู้เล็กกว่า
ลักษณะรัง การสร้างรังในป่าธรรมชาติเกิดจากการที่สูดวรรณะงานบางตัวเสาะหาแหล่งที่
จะสร้างรังใหม่เนื่องจากประชากรในรังเก่ามาก แออัดมาก และมีนางพญารุ่นลูก (daughter queen) เกิดขึ้นมา ทำให้ต้องแยกรังออกไปสร้างใหม่ ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฤดูผสมพันธุ์ของมัน
การสร้างรัง ขึ้นอยุ่กับแต่ละชนิด แต่ละชนิดเลือกสถานที่สร้างรังต่างกันสามารถแยกลักษณะของการสร้างออกได้ 4 กลุ่มมีดังนี้
1. กลุ่มที่สร้างอยู่รูอยู่ตามชอกหลืบต้นไม้ที่มีโพรงของต้นไม้ขนาดใหญ่ ทั้ง ที่ยืนต้นมีชีวิตที่
อยู่ และยืนต้นตาย (Trunk nesting) เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่พบในบ้านเรา เช่น “แมงขี้สูดโกน” (Trigona apicalis)
2. กลุ่มที่สร้างรังอยู่ในโพรงใต้ดิน (Ground nesting) โดยรังจะถูกสร้างอยู่ใต้ดิน บริเวณ จอมปลวก
ชนิดที่พบในบ้านเรา คือ” ขี้สูดโพน” (Trigona Collina)
3. กลุ่มที่สร้างรังอยู่ในโพรงตามพื้นดิน เรียกว่า “ สูดเพียงดิน “
4.กลุ่มที่ทำรังตามหลืบ รอยแตกของต้นไม้ กิ่งไม้ หรือรูเล็ก ๆ ตามต้นไม้ ตามธรรมชาติ
หรือทำรังในโพรง ต้นไม้ กลุ่มนี้มีตัวเล็กกว่า ชนิดที่ผ่านมา เรียกว่า ” แมงน้อย ”
แมงขี้สูดนี้จะสร้างปากรังออกมาเป็นหลอดกลมหรือแบนที่สร้างด้วยยาง หรือชันไม้โดยที่ชแต่ละชนิดมีรูปร่างปากรูใกล้เคียงกันหรือแตกต่างกันไปตามชนิดของมัน
ภายในรังมีการสร้างเป็นเซลล์ หรือ หน่วยๆ เพื่อให้นางพญาวางไข่ และตัวงานเก็บ ละอองเรณู น้ำหวานเพื่อใช้เลี้ยงตัวอ่อน เซลล์เรียงตัวเป็นชั้นๆ ไปตามแนวนอน ตามพื้นที่ภายในรังจะอำนวย วกวนไปมาหลายๆชั้นโดยที่ผนังเซลล์แต่ละหน่วยถูกสร้างเป็นผนังบางๆ
จากชันยางไม้ผสมไขที่ชันโรงสร้างเคลือบเอาไว้
ภายในรังสามารถแยกเซลล์ออกเป็น หลอดนางพญา หลอดตัวงาน หลอดเก็บเกสร
และหลอดเก็บน้ำหวาน และ ท้ายสุด หลอดที่เก็บขี้สูด
สมัยเป็นเด็กน้อยเวลาไปทุ่งนากับพ่อ ชอบไปดูตามจอมปลวกหนือโพน ด้วยความอยากรู้
ไปเจอรังของแมลงเล็ก ๆ ถามพ่อ ๆ บอกว่าเป็นรังของแมงสูด หรือตัวขี้สูด
พ่อบอกว่า เมื่อออกพรรษาแล้ว ชาวบ้านจะมาหาขุดเอา น้ำหวานจากรังของมัน
รวมทั้ง “ขี้สูด” เพื่อเอาไปทำประโยชน์
พอโตขึ้นได้เที่ยวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ไปเจอชาวบ้านใช้คุหาบน้ำ ที่สานจากไม้ไผ่เอาขี้สูดทาเครือบไว้
กันน้ำรั่ว เวลาเล่นว่าวจุฬา เอาขี้สูดติดตรงรอยต่อของ”สะนูว่าว” ปล่อยว่าวลอยลมขึ้นฟ้า
เสียง”สะนู”ดังก้องท้องทุ่งทั้งคืน แคนที่เป็นเครื่องดนตรีดึกดำบรรพ์ของโลก ก็เอาขี้สูดติดที่เต้าแคนกับลำแคนที่ทำมาจากต้นอ้อ โหวตเครื่องเป่าก็ใช้ขี้สูดติด รวมทั้งการทำหน้ากลองเอย
ชาวบ้านก็เอาขี้สูดติด
กลิ่นของขี้สูดมักมีกลิ่นหอมแปลก ๆ ของยางไม้หรือเกสร
อนึ่งบนหิ้งพระของปู่ มีก้อนขี้สูดเพียงดิน ปั้นเป็นรูปพระ แกเล่าว่า ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว
เอาไว้ทำมาค้าขาย เมตตามหานิยม เป็นของดี
จะเห็นได้ว่า “ขี้สูด” ข้องเกี่ยวทางวิถีอีสานหลายอย่าง ยกแคนขึ้นมาเป่า เอากลองมาตี
เอา “โตดโต่ง “ ( พิณ ) มาดีด ก็จะได้กลิ่น”ขี้สูด” เอา “สะนู” มาเล่นยามลมห่าว
ก็มีขี้สูดติด นับว่าเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม หลายอย่าง
อีกทั้งแมลงชนิดนี้ช่วยในการผสมเกสร ดอกไม้ต่างๆ ทำให้ผลไม้ติดผลดี นิสัยก็ไม่ดุร้าย
ไม่เคยทำลายใคร ดังนักพรตแห่งจอมปลวก เครื่องดนตรีของภาคอีสาน ล้วนต้องมีขี้สูด
ข้องเกี่ยวทั้งนั้น เสมือน จะบอกว่า
“ ดนตรีมิเคยทำร้ายใคร มีแต่เอิบอิ่มเติมเต็ม “ ดังเช่นนิสัยแมงขี้สูด