ผญาเป็นวรรณคดีของชาวอีสานที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจนมาถึงปัจจุบัน ผญามีที่มาจากศาสนา คำสั่งสอนของผู้เฒ่าผู้แก่ ประเพณีความเชื่อและสังคม วรรณคดีอีสานส่วนมากแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง คนโบราณเมื่อพูดจากันในบางครั้งจะพูดคำคล้องจองกัน ผู้สูงอายุจะพูดอบรมสั่งสอนใครก็มักจะพูดเป็นภาษิต คติเตือนใจ เป็น คำคล้องจองสั้นบ้าง ยาวบ้างตามความสามารถของแต่ละบุคคล
แม้แต่การอวยพรแก่กันก็กล่าวเป็นคำคล้องจอง การพูดจาทักทายของหนุ่มสาวสมัยก่อน เวลาเกี้ยวพาราสีกัน จะไม่พูดออกมาตรง ๆ จะพูดเป็นคำคล้องจอง จะใช้คำพูดที่แสดงความโดยนัย ผู้ฟังหรือคู่สนทนาจะต้องตีความเอง เพราะเหตุนี้ในบทผญาจึงมีกลวิธีทางภาษาที่น่าสนใจและศึกษา
ผญาเกี้ยว คือ ผญาที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีกันในโอกาสพิเศษ เพื่อให้เกิดความรักใคร่ ซึ่งกันและกันและถ้าหากทั้งสองฝ่ายพึงพอใจก็จะแต่งงานกัน
เป็นผญาพูดเพื่อเชิญชวนมาพูดคุยกัน เป็นผญาเกี้ยวเพื่อเริ่มบทสนทนา
สาวเอยลุกมาถ่อน นอนหลายมันสิเม่ย หลังสิเป่ยใส่แป้น
นอนแน่นแผ่นกะดานนอนหลายมื่อ หลังสิลายคือสาด
ตาตูบท่อหมากโม ตาโตท่อกำปั้น สิปันไห่เพิ่นผู่ได้
แปลว่า เป็นการพูดเพื่อให้ตื่นขึ้นมา เชิญชวนเรียกร้องเพื่อให้สาวลุกขึ้นมาพูดคุยด้วย โดยอ้างว่าถ้านอนมากจะทำให้ เหนื่อย หลังจะเน่าเปื่อยจะทำให้หลังติดกับแผ่นกระดาน ถ้านอนหลายวันหลังจะลายเหมือน สื่อ ตาจะบวมเท่าลูกแตงโม ควงตาจะโตเท่ากำปั้น แล้วจะแบ่งให้ใคร
อ้ายอยากถามข่าวน้อง มีผู้ปองแล้วหรือบ่
หรือว่ามีกาบห่อแล้ว หน่อน้อยกะหากซอน
อ้ายนี้ปอดอ้อยซ้อย เสมออ้อยกางกอ
กาบบ่ห่อหน่อน้อยบ่ซอน ซู้ซิซ้อนตัวอ้ายบ่มี
แปลว่า พื่อยากทราบว่าน้องมีแฟนหรือยัง หรือว่ามีทั้งแฟนและชู้ พี่ไม่มีแฟนเลย เป็นการพูดเพื่อถามข่าวคราวหรือทักทาย เป็นการพูดหยั่งเชิงว่าสาวหรือหนุ่มคนนั้นมีคู่รักแล้วหรือยัง หัวใจยังว่างไหม อยู่แห่งหนตำบลใด
ถามข่าวอ้อยป้องถี่กินหวาน ถามข่าวตาลคุมตัด
ปาดโงงกินน้ำ ถามข่าวโงงปลีกล้วย
เคอคำต้นต่ำ หรือว่ามีผู้ป้า
ฮอนฮอนกินหมาก ขอให้น้องตอบถ้อย
ผะอวนอ้ายแอ่วถาม
แปลว่า พี่อยากทราบว่าอ้อยและตาลมีใครตัดหรือยัง รวมไปถึงปลีกล้วยที่ออกเป็นลูกแล้วมีคนตัดลงหรือยัง ขอให้ตอบคำถามของพี่ด้วย
เป็นผญาพูดเพื่อถามข่าวคราวหรือทักทาย เป็นการพูดหยั่งเชิงว่าสาวหรือหนุ่มคนนั้น มีคู่รักแล้วหรือยัง บ้านอยู่ที่ไหน เป็นต้น
อ้ายอยากถามข่าวน้อง ถามข่าวผ้าผืนน้องนุ่งหม
ราคาซื้อเป็นเงินจักบาท ไผผู้เขียนขีดแต้มลายสิ่นก่านแดง
แปลว่า ผ้าที่สวมใส่มีราคาเท่าไร ใครเป็นผู้ทำลาย สลับสีให้
อ้ายอยากถามข่าวน้อง ถามข่าวทางปลา
ถามข่าวนา ถามข่าวทางข้าว
ถามข่าวชู้มีแฟนแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้โผน้องบ่มี
แปลว่า มีข้าวปลาสมบูรณ์ไหม มีคู่นอนหรือว่ามีแฟนหรือยัง หรือว่ามีแต่ชู้ไม่มีสามี
พูดถ่อมตัวและยกย่องอีกฝ่าย เป็นมารยาทของการจ่ายผญา ผู้พูดมักจะถ่อมตัวไว้ก่อน ขณะเดียวกันก็พูดยกยออีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นการผูกน้ำใจ
น้องนี่แนวนามเชื้อ มักหอยนาหน้าต่ำ
บ่แม่นแนวหงส์คำ บินผ่านฟ้าจั่งสมอ้ายผู่งาม
แปลว่า น้องเป็นหอยนาเอาหน้าเดิน ไม่ใช่หงส์บินอยู่บนฟ้าคงจะไม่คู่ควรกับคนรูปหล่อ
น้องนี่สมพานหน่อย บารมียังย่อม
ย้านบ่สมพี่อ้าย ผู้บุญกว้างยศสูง
ย้านแต่อ้ายหลอกล่อ ปากหม่อตั๋วะเป็น
ย้านอ้ายไลเฮียมเสีย บ่เอาเป็นอ้าง
แปลว่า น้องเป็นคนวาสนาน้อย กลัวไม่คู่ควรกันพี่ที่ยศสูงศักดิ์ กลัวว่าพี่จะมาโกหกทำปากหวานแล้วปล่อยทิ้งให้เป็นหม้าย
ซาดที่กาดำปี้ อยากเทียมหงส์ก็ยินยาก
ซาดที่แสงหิงห้อย ซิเยื่องแจ้งแข่งพระจันทร์ได้ติ
แปลว่า ผญาบทนี้พูดถ่อมตัวเองว่า เป็นกาแต่อยากคู่กับหงส์คงจะยากเป็นหิงห้อยตัวเล็ก มีแสงสว่างน้อยจะเปล่งแสงแข่งกับพระจันทร์คงไม่ได้
น้องนี้ย้านบ่สมกษัตริย์ห้อง เฮือนสูงขี่ฮาดป่อง
แสนสิหักไม่ค่ำ ป้าไม่ผู้ซูขึ้นกะบ่เถึง ดอกตี
แปลว่า ผญาบทนี้พูดถ่อมตัวเองว่า เป็นคนต่ำต้อย คงไม่คู่ควรกับกษัตริย์ที่มีบ้านหลังสูง ถึงแม้จะมีไม้ค้ำชันขึ้นไปก็คงจะขึ้นไปไม่ถึง
พูดบรรยายความในใจหรือกาษารักให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ เป็นการพูดเพื่อขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้พูดจะพูดบรรยายความรู้สึกในใจให้อีกฝ่ายหนึ่ง ทราบ เพื่อให้เห็นอกเห็นใจ
โอน้อเจ้าผู้ดอกเกดแก้ว ก้านถี่หนามหนา
พี่นี่วาสิความื้อยื้อ นามผาดมาซ่อนกาบ เสน้อ
ไก้กะไก้บ่ได้ ซมเล่นอยู่แต่ไกน้องเอย
แปลว่า ผู้ชายบรรยายว่าผู้หญิงเหมือนดอกเกดลำต้นมีหนามถี่มาก จะจับก็จับไม่ได้กลัวหนาม จะเข้าใกล้ก็ไม่ได้ชมอยู่ห่างมาก
ผักอื่ตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก ฝังกกไว้กางทะเลลอยล่อง
บุญบ่มาส่งให้ ซิไหลไปตามซาด
วาสนาบ่ส่งฮู้ ซิจมดื่มแก่งหลวง ชั่นแหลว
แปลว่า ผักแมงรักคันเตี้ยใบดก ล่องลอยอยู่กลางทะเลไม่มีวาสนาจะเข้าฝั่งได้ คงถ่องลอยไปตามน้ำ ถ้าวาสนาไม่ช่วยค้ำจุล คงจะจมลงในน้ำทะเล
ฝนตกยังรู้เอิ้น กบกินเดินยังฮู้อิ่ม
บาคว่าอ้ายคิดฮอดน้อง สังมาเอิ้นบ่เป็น
แม่นบ่ได้เห็นหน้า เห็นหลังคากะพออยู่
เห็นแต่ถิ่นพาดยั่ว กะปานได้นั่งคอม
แปลว่า ผญาบทนี้บรรยายกวามในใจว่าความรักเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ไม่เหมือนฝนตกหรือจันทรุปราคา ไม่ได้เห็นหน้าเห็นบ้านก็พอใจ เห็นผ้าถุงพาดไว้ริ้วบ้านก็เท่ากับได้นั่งด้วย
พูดเป็นเชิงหยอกล้อ ตลกโปกฮา เป็นการพูดเพื่อสนุกสนานระหว่างหนุ่มสาว หยอกล้อและตลกโปกฮา
เจ้าผู้ตะต่างหล่าง ขุมขี้ยางเจ้าคือใหญ่ น้อหล้า
แปลว่า ผู้ชายพูดหยอกล้อผู้หญิงว่ามีร่างกายสมบูรณ์ อวัยวะเพศคงจะใหญ่
น้องผู้ตะต่างหล่าง ขุมขี้ยางน้องกะใหญ่
เหมิดโคตรอ้าย มาเข้ากะบ่เต็ม
แปลว่า ผู้หญิงพูดว่าตัวเองมีร่างกายสมบูรณ์ วัยวะเพศก็ใหญ่ หมดทั้งตระกูลของฝ่ายชาย เข้าไปอยู่ก็ไม่เต็ม
น้องนี่บ้านแต่อ้าย เว้าบ่แม่นความจริง
บ้านแต่เป็นคือถึง แล่นมาตัวะน้อง
แปลว่า ผญาบทนี้ฝ่ายหญิงพูดว่า กลัวผู้ชายมาหลอกทำตัวเหมือนลิง
ผัดแต่ย้ายจากบ้าน บ่มีหมู่เทียมสอง
จากนิคมมา มีแต่เงาเทียมก้น
แปลว่า ผญาบทนี้พูดตลกว่า ตั้งแต่ออกจากบ้นไม่เคยมีใครมาเดียงคู่ มีแต่เงาของตัวเองเท่านั้นที่เดินคู่ตูดไป
พูดเป็นเชิง สงสัย คือพูดเป็นการหยั่งเชิงหรือเชิงสงสัยว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะจริงด้วยหรือเปล่า หรือเพียงหยอกล้อเล่นให้ชื่นใจเท่านั้น
บ้านแต่ปลาดุกบ้อน วังบอนบ่แม่นบ่อน
บ้านแต่ปลาจาดบ้อน วังแก้งบ่แม่นวัง
ย้านแต่อ้าย เว้าหล่ายตั๋วะหลาย
ใจบ่จริงดอมเฮียม ใจพี่ชายหากมายหม้าง
แปลว่า กลัวว่าจะพูดไม่จริง มาพูดเล่นด้วยแล้วก็โกหกไม่จริงใจ
โอ้ยอ้ายเอยผู้จังน้องเหม็นสาบกุยผง บ่มีไผมาจาวาซิเอาไปซ้อน
อ้ายซิเอาไปซ้อนนอนนำ บ่เหม็นหน่ายตายบ้อ
อ้ายอย่าเว้าจังชั่นตัวน้องบ่ควร
แปลว่า ตัวของน้องเหม็นสาบมาก ไม่เคยมีใครมาขันอาสาว่าจะเอาไปอยู่ด้วย ถ้าพี่เอาไปอยู่ด้วยคงจะเหม็น อย่ามาพูดกับน้องเลยมันไม่สมควร
ว่าบมีไผซ้อน สังมาซอนเป็นหลั่น
พู้นกะบั่นพี้กะชั่น ดูต้อนอ่างปา
แปลว่า ผญาบทนี้ใช้ดำพูดในเชิงสงสัยว่า ถ้าไม่มีคู่ครองทำไมทำเหมือนคนมีคู่ครองมีสิ่งขวางกั้นเหมือนทำที่ล่อปลา
น้องอยากเห็นอกอ้าย สิมีหวายมาผูกบ่เด้
อยากเห็นอกหม่อมอ้าย สิหนักแน่นท่อสำลี บ่น้อ
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้หญิงใช้คำพูดเชิงสงสัยว่า อยากรู้ว่าในจิตใจของผู้ชายเป็นอย่างไร จะมีอะไรผูกมัดไว้ จะหนักแน่นเท่าสำสีหรือไม่
พูดในลักษณะหยอกล้อ แซว เป็นช่วงที่หนุ่มสาวจ่ายผญากันมาพอสมควรแล้ว จนสนิทสนมกัน
น้องสาวเอยเป็นสาวเฒ่า กางเฮือนก้นขี่ด่าง
ปีกายผาดด่างก้น ปีหน้าผาดด่างหี
แปลว่า น้องเป็นสาวเฒ่า ตูดจะเป็นลาย ปีที่แล้วลายตรงตูด ปีหน้าคงจะลายที่อวัยวะเพศ
โอน้ออ้ายเอยน้องบ่บ้านดื้ดื้ งัวแม่ด่างแห่งด่างเหมิดโต
แขนขิดแขนขอไปกินหญ้าอยู่กางท่ง อันนี่ด่างแต่ก้นคนนั่นส่องบ่เห็น
แปลว่า ผู้หญิงตอบว่าไม่กลัววัวแม่ลายยิ่งลายหมดตัว ยังเดินออกไปกินหญ้าอยู่กลางทุ่ง ฉันลายแต่ตูดคงไม่มีใครส่องเห็น
เพิ่นนั่นธงผืนผ้า ภูษากำมะหยี
กระโปงเขินท้ายกว้าง สมชั้นท่านพะยา
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้ชายพูดกระแนะกระแหนผู้หญิงว่า สวมเสื้อผ้ามีราคา ใส่กระโปรงสั้น ตะโพกใหญ่คงคู่ควรกับพระราชา
บ่ได้อ้ายซาดนี่ ตายไปสิบ่เกิด
สิสะเดิดขึ้นฟ้า ไปถ่าอยู่สวรรค์
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้หญิงพูดว่า ถ้ำไม่ได้แต่งงานด้วยชาตินี้ตายไปจะไม่เกิด จะกระโคคขึ้นบนฟ้าไปรออยู่สวรรค์
พูดเป็นเชิงน้อยอกน้อยใจ กลัวว่าจะไม่สมหวัง กลัวอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความเห็นอกเห็นใจ
คำน้องเว้าบ่มีอื่นมาปน ย้านแต่ขุดหลุมล่อ
ให้ปหลงเต้นใส่ พอแต่คาดลาดขึ้น
เถิงแล้วผาดแม่นไฟนั่นแหล่ว
แปลว่า น้องพูดแต่ความจริง กลัวแต่พี่ปากหวานให้ตายใจ แล้วก็ทิ้งน้องไป
น้องนี่ย้านแต่อ้ายหลอกล่อ ปากม่อตั๋วะเป็น
ข้านเจ้าไลเสียถิ่ม เคอแตงกางไฮ่
กินหน่วยแล้ว ไลถิ่มแต่เคอ นั่นแหล่ว
แปลว่า ผู้หญิงกลัวว่าผู้ชายจะมาโกหก แล้วปล่อยทิ้งเหมือนเถาว์แตงกลางไร้กินลูกแล้ว ทิ้งเถาว์ไว้
โอ้นอเฮียมนี่เทียวทางพ้อ เห็นกันตั้งหลายเพื่อ
อ้ายบ่จำชื่อหน้า เห็นแล้วกะเหล่าลืม
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้หญิงตัดพ้อผู้ชายว่า เคยพบกันตั้งหลายครั้งแค่ผู้ชายจำไม่ได้ เห็นแล้วก็ทำเป็นลืม
น้องนี่คือหดังฮูปูช้าง ไผเห็นบ่อยากแหย่
คิดต่อเจ้าหัวพ่อ เพิ่นกะบ่เหลียวแล
คิดต่อเจ้าหัวตา เพิ่นกะบ่อยากเว้า
เห็นแล้วเพิ่นบ่เหลียว
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้หญิงพูดเชิงน้อยใจว่า ไม่มีใครสนใจเหมือนรูปูร้าง
พูดยืนยันหรือให้คำมั่นสัญญาเป็นการยืนยันว่าจะรักจริง ตลอดไปไม่โกหกหลอกลวง
พี่นี่สัจจะตั้งจิงใจจาต่อ พี่หากจดจ่อน้องนางหล่าผู่เดียว
จึงได้เทียวทางดั้นคืรีดั้นฮอด เอาแต่ยอดด้อแด้มาเว้าสู่ฟัง
แปลว่า ผู้ชายพูดว่าตัวเองมีสัจจะจริงใจ รักน้องคนเคียวจึงได้เดินทางมาถึง เอาแต่เรื่องจริงมาเล่าให้ฟัง
น้องนี่บ่แม่นอสรพิษร้าย ลวงหลอกกินตับ
บ่แม่นแนวทำทาน ซิหลอกกลกินกล้วย
น้องหากพอใจด้วย หวังตายดอมพี่
คั่นบ่ไดชาตินี้ หวังซ้อนซาดซิมา
แปลว่า ผู้หญิงพูดว่าตัวเองไม่ใช่งูพิษเข้ามาลวงลอกกินตับ มีแต่ความจริงใจ ถ้าไม่ได้เป็นคู่ชาตินี้ขอเป็นคู่ชาติหน้า
พี่นี่หวังมาพ้อ ขุมขี้ยางวากก่างป่าง
อยากให้คำดำอีกว้ำ เสียมเหี่ยนสิก่นเอา
แปลว่า ผญาบหนี้ผู้ชายให้ดำมั่นสัญญากับผู้หญิงว่า ผู้หญิงจะเป็นอย่างไรก็ช่าง จะเอามาเป็นคู่ครองให้ได้
นกเขาบ่แก่นตุ้ม เฮียกคู่ขันกู
แม่นสิงอยคอนเงินกอนคำ กะบ่ลืมปายไม้
อย่าสิสงสัยถ่อน สัจจาตั้งเที่ยง
พี่นี่ตั้งต่อน้อง คือแมวตั้งต่อหนู
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้ชายให้คำมั่นสัญญากับผู้หญิงว่า ถึงเม้ตัวเองจะไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่ลืม จะซื่อสัตย์ต่อคนเดียวไปตลอดเหมือนแมวตั้งหน้ารอหนู
พูดลาและอาลัย เป็นช่วงสุดท้ายของการเกี้ยวพาระหว่างหนุ่มสาว จะพูดสั่งลาและอาลัยซึ่งกันและกัน
อ้ายบ่มีหยังแหล่ว บ่มีแนวซิคิดต่อ
จิตกะอยู่พื้ใจกะอยู่พื้ ไปพุ้นแต่ฮางคิง
แปลว่า พี่ไม่ได้มีความหวังไว้ที่ไหน เพราะจิตก็อยู่ที่นี่ใจก็อยู่ที่นี่ไปทางโน้นแต่ตัว
อ้ายไปหุ้นอย่าได้ตำสะดุดต้อง หินแห่กางทาง
อย่าได้ตำสะดุดต้อง หินบางกางเหล่า
ให้เจ้าก้มต่ำหน้า ถึงบ้านจั่งเงย
แปลว่า พี่ไปทางโน้นอย่าไปสนใจใครขอให้เดินก้มหน้าไปจนถึงบ้านแล้วค่อยแหงนหน้าขึ้น
อ้ายบ่มีหยังแหล่ว บ่มีแนวสิคิดต่อ
จิตกะอยู่พื้ใจกะอยู่พื้ ไปพุ้นแต่ฮ่างคิง
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้ชายพูดกับผู้หญิงว่า ไม่ขอกิดอะไรอีกแล้วเพราะจิตใจอยู่กับผู้หญิงแล้วจากไปแต่กาย
อ้ายไปหุ้นอย่าได้ตำสะดุดต้อง หินแห่กางทาง
อย่าได้ตำสะดุดต้อง หินบางกางเหล่า
ให้เจ้าก้มต่ำหน้า ถึงบ้านจึงเงย
แปลว่า ผญาบหนี้ผู้หญิงบอกลาผู้ชายว่า อย่าไปสนใจผู้หญิงคนอื่น ให้กัมหน้าเดินถึงบ้านเล้วค่อยเงยหน้า
คั่นหว่ากายจากน้อง อ้ายอย่าปากนำไผ
หญิงใดเข้าตอแยถามข่าว อ้ายอย่าได้ตากหน้า
จาต้านตอบเขา
แปลว่า ผญาบหนี้ผู้หญิงสั่งลาผู้ชายว่า นอกจากตัวเองแล้วไม่ให้ผู้ชายพูดกับใคร ถึงเม้จะมีผู้หญิงมาพูดด้วย ก็ห้ามพูดกับเขา
ปูปาสิลาน้ำ เข้าก่ำสิลาหนอง
บัวทองลาบึงไป บ่าวพี่ซายสิลาน้อง
อ้ายบ่มีหยังแหล่ว บ่มีแนวสิคิดต่อ
จิตอยู่พื้ใจอยู่พื้ ไปพู้นแต่ฮ่างคิง
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้ชายพูดลาผู้หญิงว่า ตนเองจะได้ลาจากปแล้ว เหมือนปูปลาลาน้ำ ข้าวเหนียวดำลาหนอง บัวทองลาบึง ไม่มีอะไร จะคิดต่อแล้ว เพราะจิตใจอยู่ที่นี่ไปแต่กาย
คั่นอ้ายคิดยอดน้อง ให้เหลียวเบิ่งเดือนดาว
สายตาเฮาทั้งสอง สิก่อมกันอยู่เทิงฟ้า
แปลว่า ผญาบทนี้ผู้หญิงพูดกับผู้ชายว่า ถ้าคิดถึงขอให้มองดูเดือนดาว เราจะส่งสายตาไปประสานกันอยู่บนฟ้า
อ้างอิง