
Newsletter Subscribe
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 เวลา 11.11 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 อย่างเป็นทางการร่วมกับสหายบุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะเปิดประตูการค้าทางรถยนต์ในอาเซียน เริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เล่าว่า สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 จะมีสถาปัตยกรรมของสะพานที่มีการผสมผสานความเป็นไทยและลาวมากขึ้นกว่าสะพานที่ผ่านๆ มา โดยสะพานนี้เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย ที่จังหวัดนครพนมกับประเทศลาว แขวงคำม่วน ใช้งบประมาณก่อสร้างจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลลาวรวมทั้งสิ้น 1,723 ล้านบาท มีระยะเวลาการก่อสร้างรวม 900 วัน สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นี้ จะเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย ลาว เวียดนาม และภาคใต้ของจีน เนื่องจากประเทศลาวมีลักษณะภูมิประเทศที่เหมือนเอวแคบ ส่วนเอวที่แคบที่สุดเชื่อมต่อกับเวียดนามแล้วยังติดต่อกับประเทศไทยที่นครพนม ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างสะพาน เมื่อเปิดใช้สะพานจะเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าที่สำคัญของอาเซียน จากชายแดนไทยไปถึงชายแดนลาวกับเวียดนามระยะทางเพียง 145 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 2 ชั่วโมง และเมื่อถึงทางเหนือของเวียดนามสามารถเดินทางต่อไปยังประเทศจีนอีกประมาณ 831 กิโลเมตร สะพานแห่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อคนนครพนมเพราะที่ผ่านมาจังหวัดเราเหมือนอยู่ก้นซอยด้วยความห่างไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เป็นแค่ทางผ่าน แต่เมื่อเปิดสะพานจะมีการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถข้ามไปเที่ยวลาวแล้วกลับมานอนที่นครพนมได้ หรือจะไปเที่ยวจังหวัดใกล้เคียงแล้วมานอนนครพนม แล้ววันต่อไปค่อยข้ามแดนไปเที่ยวก็ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อเปิดการเดินทางที่สะดวกเกรงว่านักท่องเที่ยวไทยจะไปเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านกันหมด ทางจังหวัดเลยรวมเป็นกลุ่มจังหวัดสนุก ประกอบด้วย สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เพื่อวางแผนการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดใกล้เคียงให้มีแนวทางสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยนอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยแล้วยังพยายามดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านให้มาเยี่ยมชมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเวียดนามที่ไทยมีความสัมพันธ์แนบแน่นและมีแหล่งท่องเที่ยวหลายที่ซึ่งท่านโฮจิมินห์เคยมาพักอาศัย “ถ้าใครมีเวลาน้อยแต่ชอบเยี่ยมชมด้านประวัติศาสตร์สามารถมาเที่ยวชมวัฒนธรรมของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ และอาณาจักรศรีโคตรบองในอดีต ได้จากฝั่งไทยและฝั่งลาว โดยจะได้ความรู้ต่างๆ มากมาย” ขณะเดียวกันด้านการค้าตอนนี้ที่นครพนมมีการเตรียมพร้อมเพื่อสร้างห้องเย็นแช่แข็งปลาและอาหารทะเล เพราะสามารถส่งออกอาหารทะเลไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ถือเป็นอีกการลงทุนที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันสามารถให้ประเทศเพื่อนบ้านเช่าห้องเย็นเพื่อเตรียมส่งออกไปยังประเทศปลายทางได้อีกด้วย สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่นครพนมตอนนี้มีประมาณ 68 แห่ง มีห้องพัก 1,500 ห้อง ซึ่งถ้าเป็นช่วงเทศกาลต่างๆ โรงแรมอาจไม่พอ หลังจากเปิดสะพานคาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาสร้างโรงแรมอีกมาก แต่จริงๆ แล้วคนท้องถิ่นเองก็มีศักยภาพซึ่งการลงทุนด้านโรงแรมอาจจะต้องใช้งบประมาณสูง แต่สามารถนำวิถีพื้นบ้านมาเป็นสไตล์การตกแต่งโรงแรมเพื่อสร้างความแตกต่างได้ จากการคาดการณ์หลังจากเปิดสะพานแห่งนี้ ไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการค้าขายและท่องเที่ยวมากพอสมควร ซึ่งผู้ประกอบการท้องถิ่นเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องเร่งสร้างมาตรฐานเพื่อให้นักท่องเที่ยวประทับใจและกลับมาเที่ยวจังหวัดของเราอีกครั้ง สะพานมิตรภาพ ไทย–ลาว แห่งที่ 3 จะเป็นอีกเส้นทางสำคัญของการพัฒนาชาติอาเซียน และสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตต่อไป