การปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก

การปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก ต้องบอกก่อนว่าประเทศไทยมีมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์มาก แต่โดยส่วนมาก สายพันธุ์มะม่วงที่เป็นที่ต้องการมากในต่างประเทศ นั้นคือ มะม่วงน้ำดอกไม้ที่เป็นที่นิยมมากทั้งแถบเอเชีย ยุโรป และทั้งทวีปอเมริกา แต่ในการปลูกเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีนั้น ต้องมีการดูแล บำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสายพันธ์มะม่วงในประเทศไทยในสมัยก่อนมีมากมาย ตามหนังสือพรรณพฤกษาของพระยาศรีสุนทรโวหาร ที่ได้ให้คำอธิบายสายพันธุ์อย่างแพร่หลายและเป็นที่รู้จักดี เช่น เขียวเสวย แรด อกร่อง และมะม่วงส่งออกในปัจจุบันอย่างมะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่รูปร่างยาวเรียว ผลดิบเนื้อขาว รสเปรี้ยวจัด ผลสุกสีเหลืองนวล รสหวาน

สภาพพื้นที่

การปลูกมะม่วงเชิงพาณิชย์เพื่อการส่งออก ในการเลือกพื้นที่นั้นต้องเลือกพื้นที่ค่อนข้างดอน น้ำไม่ท่วมขัง เพราะถ้าหากมีน้ำท่วมขังนานๆ จะมีผลในการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิต อีกทั้งยังสามารถเกิดปัญหาโรคได้ง่ายกว่า สภาพพื้นที่ที่มีการระบายน้ำที่ดี ในส่วนของสภาพภูมิอากาศนั้น มะม่วงสามารถเจริญเติบโตในอากาศที่โปร่งแสง และสามารถได้ผลผลิตได้มีประสิทธิภาพดีที่สุดในฤดูฝน

ลักษณะดิน

  • การใช้ ดินเกรด AAA สูตรเข้ม ข้น ใส่อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อหลุด แล้ว จึงลงมือปลูกมะม่วง วิธีนี้จะสามารถ ได้ผลผลิตดีกว่าและโตเร็วกว่า
  • การใช้ดินผสมปุ๋ยพืชสดนั้นก็เป็นประโยชน์ต่อดิน ช่วยในการปรับปรุงดินต่างๆ ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำ และทำให้มีการระบายอากาศของดินดี เหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นมะม่วงมาก
  • การขุดหลุมปลูก นั้นต้องให้มีขนาดกว้างยาว และลึก 50  เซนติเมตร – 1 เมตร และต้องคำนึงถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย ในการขุดหลุมนั้นให้แยกเป็นสองกอง คือ ดินชั้นบนแยกไว้กองหนึ่ง ดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาสัก 15-20 วัน แล้วผสมปุ๋นอินทรีย์ อัตรา 1-2 กำมือต่อหลุม  รองพื้นด้วย แล้วกลบดินลงไปในหลุมตามเดิม

สภาพภูมิอากาศ

มะม่วงจะเจริญเติบโตที่อุณหภูมิ 20 – 34 องศาเซเลซียล และอุณหภูมิก่อนการออกดอกที่ 5 – 20 องศาเซลเซียล ต่อกัน 2 สัปดาห์

พันธุ์มะม่วง

มะม่วงมีมากกว่า 150 สายพันธุ์ สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ดังนี้

  •  มะม่วงสำหรับรับประทานผลดิบ เช่น เขียวเสวย ฟ้าลั่น พิมเสนมัน แรด มันหนองแซง เป็นต้น
  • มะม่วงสำหรับรับประทานผลสุก เช่น น้ำดอกไม้ อกร่อง หนังหลางวัน หนังทองคำ เป็นต้น
  • มะม่วงที่ปลูกเพื่ออุตสาหกรรมการแปรรูป เช่น มะม่วงแก้ว มะม่วงสามปี และมะม่วงโชคอนันต์

ฤดูที่เหมาะกับการปลูกมะม่วง

มะม่วงควรที่จะปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ในช่วงเดือนพฤษภาคม – เดือนกรกฎาคม เพื่อให้ต้นมะม่วงนั้นได้ตั้งตัวได้เร็วขึ้นมาก เพราะ ในฤดูฝน มีอากาศที่ชุ่มชื้นดี ปริมาณน้ำไม่ขาด

วิธีการปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก

  • การปลูก โดยการใช้กิ่งทาบ กิ่งติดตา  ปลูกให้ลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะ แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาเพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้น ต้องแตกออกมาจากกิ่งพันธุ์ จากต้นตอ แต่ถ้า กิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้ง
  • การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลุกในระดับเดียวกับดินในภาชนะ ไม่ควรกลบดินจนมิดจุก เพราะสามารถทำให้ต้นเน่าง่าย เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ทำการผูกต้นเพื่อกันโยก รดน้ำให้ชุ่ม ในการปลูกถ้ายังเห็นว่าแสดงอาการเหี่ยวเฉา ตอนมีแสงแดด ควรทำที่บังแดด จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้ดีขึ้น  หมั่นรดน้ำเสมอ  อย่าให้ดินแห้ง
  • ปลูกพืชแซม ต้นมะม่วงที่ปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งติดตา ต้องใช้เวลาถึง 3-4 ปีจะให้ได้ผล ในการปลูกจากากรเพาะเมล็ด ใช้เวลาประมาณ 5-6 ปี ในระหว่างที่ต้นยังไม่ให้ผลนี้ ถ้าปลูกแบบระยะต้นห่างๆ จะมีเวลาเหลืออยู่มาก แนะนำควรปลูกพืชอย่างอื่นที่มีอายุสั้นๆ เพื่อหารายได้เสริมก่อน ใช้ทุกพื้นที่เป็นประโยชน์ แต่อย่าลืมค่อยกำจัดวัชพืชเสมอ ในการปลูกพืชแซมแนะนำให้เป็นพืชตระกูลถั่วต่างๆ เพื่อช่วยบำรุงดิน ส่วนพืชที่ไม่ควรปลูก คือ พวกข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง เป็นต้น
  • การปลูกกล้วยลงไปก่อนที่จะปลูกต้นมะม่วงตามไป จะสามารถทำให้ต้นมะม่วงมีการเจริญเติบโตได้ เพราะกล้วยนั้นสามารถเป็นร่มเงาได้ดีมากในเวลาที่มี แสงแดดจัด  และยังทำให้ให้สวนชุ่มชื้นตลอดเวลาๆ เพราะต้นกล้วยเก็บน้ำดีมาก ในการปลุกต้นกล้วยแซมนี้ ยังสามารถป้องกันไม่ให้หญ้าขึ้นอีกด้วย
  • ระยะปลูกแบบถี่ หรือการปลูกระยะชิด เช่น 2.5 X 2.5 เมตร, 4 X 4 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะได้มะม่วงประมาณ 256 ต้นต่อไร่ การปลูกระยะชิดนี้ จำเป็นจะต้องดูแลตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอด้วย
  • ระยะปลูกแบบห่าง เช่น 8 X 8 เมตร, 10 X 10 เมตร หรือมากน้อยกว่านี้ตามความเหมาะสม แนะนำให้ปลูกระยะ 8 X 8 เมตร หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 6 X 6 เมตร สำหรับมะม่วงที่ขยายพันธุ์ด้วยการทาบกิ่ง

การกำจัดวัชพืช

ใช้ชีวภัณฑ์ปลอดสารพิษ อัตรา 40-80 กรัมและผสมน้ำ 20 ลิตร ทำการฉีดพ่นกำจัดเป็นประจำทุก 5-7 วัน แต่ช่วงที่มะม่วงเริ่มแทงช่อ ฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง

การให้ปุ๋ย

ทางดิน :  ใส่วัสดุปรับปรุงดินเกรด AAA อัตรา 0.5-1 กิโลกรัมต่อต้น ทุก ๆ 30-45 วัน  สลับกับการใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 อัตรา 150-300 กรัม (1-2 กำมือ) ต้น ปีละ 2-3 ครั้ง

ทางใบ :  ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา  30-50  ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก ๆ 15-20 วัน (1-2 ครั้งต่อเดือนเป็นประจำ)

การให้น้ำ

  • การใช้ระบบให้น้ำแบบหัวเหวี่ยงเล็ก(มินิสปริงเกอร์) ทำได้สะดวก ประหยัดแรงงานและพืชได้น้ำสม่ำเสมอ
  • การให้น้ำแบบสายยางรด มีต้นทุนต่ำ แต่ควบคุม ปริมาณน้ำที่ให้พืชได้ยาก ไม่สม่ำเสมอ และเวลามากกว่าระบบหัวเหวี่ยงเล็ก

เทคนิคการปลูก

  • มะม่วง เมื่อต้นเริ่มแทงช่อ ให้ฉีดพ่นไบโอเฟอร์ทิล อัตรา  50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร +อาหารเสริมรวม  อัตรา 5-10 กรัมฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน จนกระทั่ง ช่อดอกที่ได้จะสมบูรณ์  และปัญหาเรื่องการระบาดของเพลี้ยจะลดลง
  • เมื่อช่อมะม่วงเจริญพ้นพุ่มใบออกมาอย่างเด่นชัดแล้ว ควรรดน้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ
  • ในพื้นที่ที่มักมีการระบาดของแมลงศัตรูพืชรุนแรง ควรพ่นยาเพื่อป้องกันกำจัดแมลงที่จะมาทำลายช่อมะม่วง, และป้องกันการเข้าทำลายของโรครา

การเก็บเกี่ยว

การเก็บผลมะม่วงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง เพื่อให้ผลมะม่วงที่ได้มีคุณภาพดี ข้อสังเกตง่ายๆ ว่ามะม่วงจะแก่หรือเป็นช่วงเวลาที่สามารถเก็บได้แล้ว สิ่งที่น่าสังเกต  2 ประการคือ

  • แก้มผลทั้ง 2 ข้างพองโตเต็มที่ สีผิวเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาวจาง สังเกตจากผิวของผลมะม่วงมีสีขาวนวล
  • เก็บตัวอย่างผลมะม่วงมา 1-3 ผล เพื่อทดสอบ โดยนำมะม่วงมาแช่น้ำดู หากผลมะม่วงจมน้ำแสดงว่าแก่จัด ถ้าลอยแสดงว่ายังอ่อนอยู่  และเวลาเก็บต้องอย่าให้ช้ำ มิฉะนั้นจะเน่าและเสียได้ง่ายเวลามะม่วงสุก

ตลาด

ในยุคปัจจุบัน ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีและญี่ปุ่นมีความต้องการสูง โดยเฉพาะพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองมีความต้องการถึง 90%

ผลตอบแทน

มะม่วงน้ำดอกไม้ถ้าต้องการขายตลาดในประเทศ ราคาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 25-35  บาท  แต่มะม่วงนั้นก็เป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศมาก ราคามะม่วงน้ำดอกไม้ ถ้าคัดส่งขายต่างประเทศมีราคาสูงกิโลกรัมละ 90-120 บาท

ข้อมูลและภาพประกอบ

  • หนังสือ 123 อาชีพทางเลือก
  • modernlessons.com

มี 1 บทความลิงก์มาที่การปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก

กรุณาแสดงความคิดเห็นของคุณ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*